top of page

RECENT POSTS: 

FOLLOW ME:

  • Facebook Clean Grey
  • Instagram Clean Grey

VMM 2016 and Yoga.


โชคดีที่เดียวนี้ เดินทางไปซาปาได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องค้างคืนบนรถไฟ แต่สามารถเลือกเดินทางด้วย Sapa Express แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการเดินทางถึง 2 วัน ไป และ 2 วันกลับ กันเลยทีเดียว ซาปา เป็นเมืองที่มีธรรมชาติที่สวยมาก แม้แต่หมู่บ้าน Cat Cat ที่สามารถเดินจากตัวเมืองลงไปได้นั้น ก็สวยด้วยธรรมชาติที่มีอยู่ แล้วเส้นทางวิ่ง VMM 2016 จะสวยขนาดไหน ต้องบอกว่า สวยจริง ๆ สวยสมกับความพยายามที่วางแผนล่วงหน้า 1 ปีเต็มเพื่อการเดินทางไปวิ่งในครั้งนี้ เพราะตลอดระยะของเส้นทางวิ่ง จะพาเราเข้าไปเยือนพื้นที่ในหุบเขาที่สวยจับจิต วิ่งผ่านน้ำตกธรรมชาติ ลำธารสายเล็ก สายน้อย หมู่บ้านชาวม้ง ได้แอบมองดูวิถีชีวิตของผู้คนไปตลอดระยะเวลาของการวิ่งกันเลยทีเดียว สำหรับคนที่สนใจวิ่ง และอยากจะลองวิ่งแบบสวย ๆ เราแนะนำว่า 21 K ก็เพียงพอ วิ่งสวย ๆ ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่มี Cutoff ระหว่างเส้นทาง ใช้เวลาซึมซับธรรมชาติจากจุดเริ่มต้นจนเข้าเส้นชัย ก็ขออย่าให้เกิน 8 ชั่วโมงก็พอ ก่อนที่จะเริ่มวิ่ง นักวิ่งทุกคนจะได้รับเอกสาร Brief อย่างละเอียดมาก ว่าเส้นทางแต่ละช่วงจะต้องเจอสภาพเส้นทาง ความลาดชัน การเตือนถึงอันตรายของทางวิ่งไว้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นสิ่งที่แนะนำว่า ใครจะไปวิ่งต้องอ่านให้ละเอียดกันเลยทีเดียว เพราะพอตอนวิ่งจริง สิ่งที่อ่านนี้แหละมันปรากฏชัดเจนมากว่า เราต้องมีสมาธิในการวิ่ง ประกอบกับความระมัดระวัง หรือ การมองหาทางรอดอย่างไรในแต่ละช่วงของเส้นทาง สิ่งหนึ่งที่ควรต้องมี คือ Mandatory อย่าคิดนะว่า ไม่จำเป็น ประเภทแบบคิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่เขากำหนดจำเป็นจริง ๆ เราบอกได้เลยว่า น้ำ 1 ลิตร ที่แบกขึ้นไปใช้ได้พอดี Energy เตรียมให้พร้อม กินให้ตรงตามเวลา เพื่อป้องกันการเป็นตะคริว First Aid ส่วนตัวต้องมีติดตัว ไม่ได้ใช้กับตัวเอง ก็ใช้ช่วยคนอื่น ๆ ได้ ถือว่าทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไประหว่างทาง อีกสิ่งที่เขาไม่ได้กำหนดให้เป็นอุปกรณ์หลัก คือ ไม้เท้า แต่ขอบอกว่า ถ้าไม่มีไม้เท้า คงจะแย่ เพราะไม้เท้าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ง่าย ช่วยให้เรายืนพัก พยุงร่างกายให้เดินทางต่อได้ จะบอกว่าสำหรับเราใช้อันเดียวก็พอ ซื้อให้ดีเลยนะ เพราะเห็นคนทิ้งไม้เท้าพัง ๆ กันตรึม ที่โรงแรมก็มีทิ้งกันเยอะเลย หมวกก็สำคัญนะ แล้วอย่าลืมทาครีมกันแดดด้วย ขนาดเราทา โหนกแก้มขวายังลอกเลย ดังนั้นหากจะคิดว่าจะไปวิ่งก็ต้องศึกษา ข้อมูลให้พร้อมนะ ส่วนตัวแล้ว เป้น้ำ ไม่จำเป็นสำหรับเรา เพราะเราไม่ชอบรูปทรงมัน แต่ที่ใช้ คือ ไปซื้อเป้ที่ทำด้วยผ้าเบามากมาก มาแล้วชื่อ กระติกน้ำเบา ๆ ขนาด 1 ลิตรมาใช้แทน เพราะเรามีเข็มขัดขาดเอวที่ใส่ขวดน้ำได้อยู่ด้วย เราว่าก็พอแล้วละ ขอใช้เป้สวย ๆ ดีกว่า อิอิ เส้นทาง 21 K จะมียอดเขาแรกให้ไต่ขึ้นไปประมาณ 1600 เมตร จากระดับน้ำทะเล แล้วจะวิ่งทิ้งดิ่งลงมาในหุบเขา ต้องบอกว่าช่วงแรก วิว สวยมากกกกกกกก คนหยุดถ่ายรูปกันตลอดทาง พอลงมาถึงจุดพักที่ สอง คราวนี้จะเริ่มไต่ขึ้นยอดสองประมาณ 1300 เมตร จาก ระดับน้ำทะเล เส้นทางนี้หฤหรรษ์มาก เพราะมันคือการไตขึ้นเขากันเลย โดยเฉพาะความชันนั้นมีมาก ไปได้ช้ามาก เราต้องทั้งฟังตัวเอง ดูการเต้นของหัวใจ ไม่ให้เร็วเกินไป ถ้ารู้สึกว่าเร็วเกินไปต้องหยุดพักเป็นช่วง ๆ เพื่อป้องกันตัวเองจากตะคริว เพราะตลอดระยะทางช่วงนี้ นักวิ่งหลายคนไปต่อไม่ได้ต้องนั่งพักแก้ตะคริวกันเยอะมาก อีกทั้งต้องกิน Energy ทุก 1 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาการวิ่ง เพื่อเป็นการป้องกันทั้งตะคริว และ ให้พลังงานกับร่างกาย ต้องบอกว่า การวิ่งครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ฝึกโยคะมา ก็แย่เหมือนกัน เพราะการที่ได้ฝึกโยคะมาบ้าง ทำให้เราจับสังเกต การเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าตะคริวไม่มา ๆ นะ แต่ด้วยความที่การฝึกโยคะมันทำให้เราจับสังเกตตัวเองได้เร็ว ทำให้เราหยุดพัก หรือ ปรับเปลี่ยนการลงเท้า และ ขา การปรับเปลี่ยนการก้าวเดินให้ยกต่ำ ไม่ยกสูง การมองหาพื้นที่ ๆ ทำให้เราเดิน หรือ วิ่งได้ ง่ายขึ้น เพื่อให้เราคงสภาพร่างกายไปจนจบการวิ่งได้ อีกทั้ง วิ่งรอบนี้ เส้นทางมีหลากหลายมากมาย ทั้งเป็นถนนคอนกรีต ทางดิน ทางหิน (อันนี้เด็ด เพราะมันเป็นหินจริง ๆ ไม่มีพื้นเรียบเลย) ทำให้เราต้องมีสมาธิมากมายตั้งแต่ ตาที่ต้องมองทั้งวิว และ ทาง ว่าจะวางเท้ากันไงดี เวลาที่จะปักไม้เท้า ปักไปตรงไหนแล้วเราจะมั่นคง ส่งตัวเราไปต่อได้ วิ่งไปวิ่งมา อ้าว ซ้ายเหว ขวาเขา จะร่วงไม่ร่วงก็อยู่ที่สมาธิกันละ พอผ่านไปได้อีก ทางวิ่งลงทั้งชันทั้งหิน แถมสุดทางเป็นเหว จะเบรกกันยังไง ก็ต้องมองหาที่เบรกเหมาะ ๆ ตอนไต่เขา ก็ต้องมองทั้งทาง ดูทั้งการวางเท้า แถมต้องมองหาที่ยืนพักเป็นระยะ เรียกได้ว่า ฝึกสมาธิ อยู่กับปัจจุบันจริง ๆ แต่สนุกมาก อันนี้ขอย้ำ อย่างที่บอก เส้นทางวิ่ง Trail ไม่ใช่เส้นทางวิ่งเอาความเร็ว ตอนก่อนจะออกวิ่ง เขาก็มีเตือนว่า อย่าวิ่งเร็ว ให้ไปช้า ๆ เพราะมีหลายคนที่วิ่งออกไปเหมือนกับวิ่ง 100 เมตร เสร็จแล้วก็แป๊กไปไม่ถึง สิ่งสำคัญของการวิ่งที่ VMM 2016 สำหรับเรา คือ การเตือนสติไว้เสมอว่า อย่าเร่ง อย่ารีบ ไปตามสภาพร่างกายที่เหมาะสม เพราะเส้นทางนั้นมันไม่ธรรมดา เส้นทางขึ้นลงตลอดระยะเวลาของการวิ่ง ซึ่งอยากจะบอกว่า มีช่วงที่วิ่งได้จริง ๆ ไม่เกิน 3 กิโลเมตร นอกนั้นเป็น Fast Trekking จริง ๆ อย่างที่เอกสารบอก ช่วงที่จะทำเวลาได้ดี ก็คือ ช่วงที่ลงจากเขา แต่ก็ขอบอกว่า ใช่ว่าจะวิ่งได้เร็ว เพราะมันเต็มไปด้วยหิน และทางลาดมากมาก ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังในการวิ่ง และก็จริงอย่างที่เอกสารแจ้งไว้ว่า เราจะใช้เวลาเป็น 2 เท่าของ วิ่งพื้นราบ เพราะรอบนี้ใช้เวลาวิ่งไปทั้งหมด 5.19 ชม. การมาวิ่ง Trail ทำให้เราได้เรียนรู้ร่างกาย และ จิตใจเป็นอย่างดี เพราะทุกระยะการวิ่ง เราต้องเรียนรู้การใช้กล้ามเนื้อ แต่ละส่วนให้เหมาะสมกับสภาพทาง อีกทั้ง เราต้องฟังร่างกายว่าไปต่อ หรือ หยุดพัก ไม่ฝืนไม่ต้าน ไม่ทำอะไรเกินกว่าที่เราทำได้ เรียกได้ว่าเป็นการวิ่งที่ "สถิรํ สุขํ อาสนํ" จริง ๆ ทำให้เข้าใจคำว่า โยคะในชีวิตประจำวัน ได้ดียิ่งขึ้น

SEARCH BY TAGS: 

ยังไม่มีแท็ก
bottom of page